แฟนบอลคงคุ้นกับภาพที่ว่า ทีมสิงโตน้ำเงินครามคือสโมสรที่ "ซื้อ" มากกว่า "สร้าง"

แฟนบอลคงคุ้นกับภาพที่ว่า ทีมสิงโตน้ำเงินครามคือสโมสรที่ "ซื้อ" มากกว่า "สร้าง"

แฟนบอลคงคุ้นกับภาพที่ว่า ทีมสิงโตน้ำเงินครามคือสโมสรที่ "ซื้อ" มากกว่า "สร้าง"

blog

จำนวนเข้าชม 1251 ครั้ง

5 ปีที่แล้ว

นับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เทคโอเวอร์เชลซีเมื่อปี 2003 แฟนบอลคงคุ้นกับภาพที่ว่า ทีมสิงโตน้ำเงินครามคือสโมสรที่ "ซื้อ" มากกว่า "สร้าง"


หากไม่นับ จอห์น เทอร์รี่ พวกเขาไม่มีนักเตะจากอะคาเดมี่คนไหนอีกเลย ที่เป็นตัวหลักระยะยาวได้จริงๆ จังๆ


แม้แต่ตำนานอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซึ่งทุกวันนี้คือกุนซือของพวกเขา ก็ยังโดนซื้อตัวจากเวสต์แฮมด้วยค่าตัว 10 ล้านปอนด์ในปี 2001 ไม่ใช่เด็กที่สโมสรปั้นมาเอง


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูกาลก่อนที่คุมโดย เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีหลายนัดเลยทีเดียว ที่เชลซี ไม่ส่งนักเตะชาวอังกฤษเป็น 11 คนแรกเลย


แต่การที่สโมสรติดโทษแบนห้ามเสริมทัพจนกว่าจะถึงซัมเมอร์ปี 2020 ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และทำให้ "เด็กปั้น" ได้ลืมตาอ้าปากบ้าง


...แถมขึ้นมามีบทบาทสำคัญเสียด้วย

______________________________


พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20 ผ่านไป 5 แมตช์วีค เหลือเพียงเชลซีทีมเดียวเท่านั้น ที่ทุกประตูที่ยิงได้ มาจากนักเตะอังกฤษล้วนๆ


11 ประตูที่ทำได้ มาจากนักเตะเพียง 3 คนเท่านั้น และทั้งหมดต่างเป็นผู้เล่นจากอะคาเดมี่ของตัวเอง


แทมมี่ อับราฮัม ทิ้งความผิดหวังจากที่เป็นคนยิงจุดโทษพลาด ทำให้ทีมชวดแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ กลายเป็นตอนนี้นำดาวซัลโวของลีกร่วมกับ เซร์คิโอ อเกวโร่


3 นัดหลังสุด อับราฮัม ซัดไปถึง 7 ประตู และเพิ่งกดแฮตทริกพาทีมบุกถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ยับเยิน 5-2


จอมทัพวัย 20 ปีอย่าง เมสัน เมาน์ท ซึ่ง แลมพาร์ด ปลุกปั้นมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ตอนนี้ก็ซัดไปแล้วถึง 3 ลูกในลีกสูงสุด และเป็นนักเตะเพียงคนเดียวในแนวรุก ที่ลงสนามครบ 450 นาทีจาก 5 เกมแรกในพรีเมียร์ลีก


ล่าสุด ฟิกาโย่ โทโมริ ซึ่งเพิ่งลงตัวจริงให้ทีมเป็นนัดที่ 2 ก็ประเดิมประตูแรกให้ทีมชุดใหญ่ ด้วยการยิงไกลอย่างสุดสวย

______________________________


มั่นใจได้เลยว่า ถ้าหากผู้จัดการทีมแห่งถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ตอนนี้ไม่ใช่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด หรือไม่ก็ถ้าสโมสรสามารถเสริมทัพในช่วงปรีซีซั่นที่ผ่านมาได้ตามปกติ เด็กปั้นเหล่านี้ ก็คงไม่มีโอกาสปล่อยของเหมือนเดิม


แทมมี่ อับราฮัม ซึ่งโดนปล่อยยืมตลอด 3 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ อาจโดนขายขาดให้ แอสตัน วิลล่า ไปแล้ว ถ้าเมื่อช่วงซัมเมอร์ ทีมสามารถซื้อกองหน้าดังๆ มาล่าตาข่ายได้


ฟิกาโย่ โทโมริ ยังไม่ได้ขึ้นชุดใหญ่แน่นอน เพราะถ้าหากไม่โดนแบนในตลาดซื้อขาย ตำแหน่งแรกที่สโมสรจะเสริม ก็คือปราการหลังระดับเกรดเอ


ส่วน เมสัน เมาน์ท ก็ดูเหมือนว่า ถ้ากุนซือไม่ใช่ แลมพาร์ด ก็อาจไม่ได้รับบทบาทสำคัญเหมือนอย่างที่เห็นตอนนี้

______________________________


ดูเหมือนว่าระบบการเล่น 3-4-2-1 ซึ่งเหมือนกับสมัยที่ อันโตนิโอ คอนเต้ คุมทีมคว้าแชมป์ลีกครั้งสุดท้าย จะกลายเป็นระบบการเล่นที่ แลมพาร์ด สามารถให้โอกาสเด็กปั้นได้โชว์ประสิทธิภาพได้มากที่สุด


ในเกมที่บุกถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน เมื่อวันเสาร์ คือครั้งแรกที่แลมพาร์ดใช้แผนการเล่นนี้ หลังจากช่วงที่ผ่านมาใช้แค่ระบบ 4-2-3-1 กับ 4-3-3


การที่ทีมมีจุดอ่อนที่แนวรับ ทำให้เขาตัดสินใจเพิ่มจำนวนเซ็นเตอร์แบ็กเป็น 3 คน และให้โอกาส โทโมริ ลงยืนร่วมกับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์


โทโมริ ลงเป็นเซ็นเตอร์ตัวซ้าย และนั่นกลายเป็นตำแหน่งที่ทำให้เขาเติมขึ้นมายิงไกลสุดสวยในเกมที่ผ่านมา


เมสัน เมาน์ท ยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเมื่อเป็นหนึ่งใน 2 ตัวรุกอิสระหลังศูนย์หน้าตัวเป้า โดยนัดล่าสุด เขาสร้างโอกาส 3 ครั้ง, ยิงเองถึง 2 หน เลี้ยงผ่านคู่แข่งถึง 5 จังหวะ และเป็นอีกนัดที่เขามีชื่อทำประตู


ขณะที่ตำแหน่งหัวหอกเดี่ยว ด้วยฟอร์มของ อับราฮัม ตอนนี้ เขาย่อมเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง


อับราฮัม มีพื้นที่เล่นในระบบ 3-4-2-1 มากกว่า 4-2-3-1 โดยเกมที่ โมลินิวซ์ กราวนด์ คือนัดที่เขาได้สัมผัสบอลมากกว่าเกมก่อนๆ ที่ผ่านมา


ต้องไม่ลืมอีกว่า เชลซียังมีนักเตะที่โตมากับอะคาเดมี่ของตัวเองรอแจ้งเกิดอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ขึ้นชุดใหญ่มาก่อนแล้วอย่าง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย กับ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่รอวันหายเจ็บกลับมา รวมถึงว่าที่แบ็กขวาตัวหลักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอย่าง รีซ เจมส์


ช่วงต่อจากนี้ จะยิ่งเป็นโอกาสให้พวกนักเตะอนาคตไกล ได้พัฒนาฝีเท้าขึ้นไปอีกขั้น เพราะจะได้ประสบการณ์ในเกมระดับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งพวกเขาไม่เคยได้จริงๆ จังๆ มาก่อน

______________________________


เชลซี คือตัวอย่างชัดเจน ว่าบางที สิ่งที่ล้ำค่า มันไม่ใช่ของราคาแพงที่เราพยายามมองหา


แต่เราสามารถค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง


และไม่ว่ายังไง เราก็จะมองสิ่งที่เราสร้างมันมาอย่างตั้งใจด้วยความ "ภาคภูมิใจ" อยู่เสมอ


เครดิต : เสียบสามเหลี่ยม