บุรุษแห่งกะลา โอเล่ บอส โซลชา

บุรุษแห่งกะลา โอเล่ บอส โซลชา

บุรุษแห่งกะลา โอเล่ บอส โซลชา

blog

จำนวนเข้าชม 1505 ครั้ง

5 ปีที่แล้ว

บุรุษแห่งกะลา โอเล่ บอส โซลชา


ช่วงเวลาหนึ่ง ณ เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ที่ต้องการผู้กอบกู้ คราวนั้นเหตุการณ์รุนแรง ทีมแตกพ่าย และยับเยิน จนได้บุรุษผู้ทรงเกียรตินามว่าโอเล่ กุนนาร์ โซลชาเป็นผู้กอบกู้ ความมหัศจรรย์ของผู้กอบกู้คือนำทัพอสูรกลับมาสง่าราศรีทัดเทียมอารยะประเทศ เมื่อชายผู้นี้กอบกู้จนได้เป็นประมุขแห่งเมือง ทันใดนั้น ... ประมุขยังมองตัวเองว่าเป็นผู้กอบกู้ ทั้งที่ตัวเองนั้นควรเป็นผู้บริหารเมืองแล้ว และเมื่อประมุขคิดเช่นนี้ คำว่าบุรุษแห่งกะลาถือได้กำเนิดขึ้น


ผู้กอบกู้เข้ามากอบกู้ซากอสูรด้วยปลุกจิตวิญญาณปีศาจ ใส่มาตรา 4-4-3 ให้แก่ทายาทอสูร ในตอนนั้นลูกรอกอสูรอะลาวาดได้ซะใจและเต็มที่เยี่ยงนัก จนผู้กอบกู้ในบารมีและถูกแต่งตั้งเป็นประมุขในเวลาต่อมา


แต่ทว่าหลังแต่งตั้งของบุรุษคนนี้ เขาได้ทรงเป็นประมุขแต่ยังทำตัวผู้กอบกู้ เขายังด้อยประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง เขายังขาดแรงสนับสนุนจากประชาชนที่มีทั้งฝั่งสนับสนุนและต่อต้านท่าน และสิ่งที่ประมุขต้องทำให้ประชาชนเชื่อใจคือ การนำพาบ้านเมืองยูไนเต็ดกลับสู่เมืองอันเลืองชื่ออีกครั้ง


และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ประมุขยกเลิกมาตรา 4-3-3 และบัญญัติ มาตราใหม่อย่าง 4-5-1 ซึ่งประมุขมองว่ามาตรานี้จะทำให้ศัตรูรอบข้างเกรงกลัว โดยมีจอมทัพเอกอย่าง บุตรแห่งพอล เป็นนายพลนำทัพ ประมุขยังนำเข้าขุนพลมาสู่เมือง โดยได้นายพลแม็คไกวร์ พลสกัดแม่นอย่างบิซซาก้า และ จอมวิ่งราวอย่างพลทหารเจมส์ ทั้งหมดเพื่อที่ประมุขเอามาเสริมความแข็งแกร่งด้านกำลังพล


แต่ประมุขอยู่ดีคืนดีกลับไม่พอใจนายทหาร 2 คน เขาทั้งคู่เป็นหน่วยจู่โจม แต่ว่าทั้งคู่ไม่ค่อยมีบทบาทในเมืองมากนัก มีทั้งคนรักและคนเกลียดไม่ต่างกันกับ 2 นายพลหน่วยจู่โจมมีนามว่า อเล็กซิส และบังบิ๊กลูกากู ประมุขสั่งการให้ปลดประจำการ 2 คนนี้ และประกาศให้โลกรู้ว่า ตอนนี้ข้ามีกองกำลังจู่โจมที่แข็งแกร่ง นำโดยพญาแรซฟอร์ด และ จอมพลมาร์กซิอัลนำทัพ และประมุขยังประกาศว่า ข้าไม่ต้องการใครทั้งนั้นในการเป็นจอมทัพให้ข้า ข้ามั่นใจว่าจอมทัพของข้าเกรียงไกรแค่ไหน


และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ประมุขพาเหล่านายพลหาญกล้าร่วมรบ ศึกแล้วศึกเล่า แพ้บ้าง ชนะบ้าง ประณีประณอมบ้าง แต่ทว่าสิ่งที่ประมุขประกาศในการสร้างเมืองใหม่ตอนนั้นคือ ข้าจะพาทีมเกรียงไกร และทว่าผลการออกศึกของท่านประมุขกลับไม่เป็นไปอย่างที่พูด ซึ่งประมุขเป็นบุรุษที่ย้อนแย้ง


แต่แล้วประมุขยังไม่ยอมแพ้ นำเหล่าลูกทัพเยือนเมืองอัคมาร์หวังเผด็จศึก ประมุขวางแผนอันแยบยล โดยการให้ นายทหารเฟร็ดและมาติชประจำในแดนกลาง มีนักต่อต้านโรโฮและลินเดอเลิฟประจำอยู่แดนหลัง และนายพลยังใช้มือสังหารที่ดีสุดอย่างแรชฟอร์ดเป็นตัวพลิกสถานการณ์


ประมุขยังคงใช้มาตรา 4-5-1 ที่เกรียงไกรดั่งภูพาในการปราบคู่ต่อสู่ แต่ทว่าประมุขใช้แต่มาตราอย่างเดียว แต่ประมุขไม่ได้ซ้อมแผนการรบเลย ทำให้ปัญหาในการรบครั้งนี้คือ


1.ประมุขไม่ได้มอบหน้าที่แดนกลางของตัวเองให้ชัดว่าทหารและรายมีหลายที่อะไร เช่นทหารเฟร็ดควรทำหน้าที่ขับเคลื่อนพลไปข้างหน้า แต่ทว่าทหารเฟร็ดพูดอังกฤษไม่ได้ และส่งของให้เพื่อนยังไม่ตรงเลย(ส่งบอลพลาดบ่อย) ส่วนนายทหารมาติชมีหน้าที่คือประคองแดนกลางให้มั่นคง และพยายามอย่าให้ศัตรูบุก และทว่านายทหารรายนี้ กลับมีความแข็งแกร่งที่น้อยลง บวกกับน้อยใจที่ประมุขไม่ยอมพาไปรบอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ศัตรูบุกได้บ่อยครั้ง เมื่อแดนกลางยวบ ปัญหาก็เกิด


2. ประมุขมั่นใจว่า ผู้นำทัพอย่างนายพลมาต้าจะสามารถขับเคลื่อนทัพได้ดีดั่งใจหวัง แต่ทว่าในถิ่นอัคมาร์ นายพลมาต้ามีหน้าที่เพียงเด็กน้อยลำเลียงอาหารเท่าไร ไม่ได้แสดงถึงความเป็นจอมทัพของตัวเอง เจ้าตัวชอบส่งให้แดนกลาง เมื่อได้อาวุธก็ไม่พยายามจะบุก แล้วก็ม้วนเขิลส่งให้แดนกลางเช่นเดิม ช่วงที่ประมุขขึ้นครองราชย์ ประมุขบอกว่า ตำแหน่งนี้เปรียบเสมือนแม่ทัพ จำเป็นต้องรุกให้ดุดันเพื่อให้ศัตรูเกรงกลัว และประมุขยังย้ำว่าข้าจะไม่นำเข้าใครทั้งสิ้น เพราะข้ามีบุตรของข้าอย่าง เทพลินการ์ดอยู่ทั้งคน แต่เวลาผ่านไปหลายศึก ประมุขยังคงดื้อดึงกับสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ ทำให้ประชาชนในเมืองยูไนเต็ดต่างกรี้ดร้องให้ประมุขทบทวนตัวเอง


3.แนวรุกของทัพ ทุกครั้งที่ประมุขบอกว่าข้ามีกองกำลังที่แข็งแกร่งแต่ไปรบแล้วแพ้ ประชาชนยิ่งสิ้นศรัธทาในท่านประมุขนะ ประมุขไม่เคยเรียนรู้ประสบการณ์จากความพ่ายแพ้เลยว่าแนวรุกของประมุขห่วยแตกแค่ไหน ประมุขไม่เคยสอนเรื่องการรบแบบรุกที่ดีของทัพท่านเลย และประมุขไม่เคยสนใจเสียงประชาชนกรี้ดร้องให้ปรับทัพและเสริมสร้างแนวรุกของเมืองเพื่อความมั่นคงมากกว่านี้ และสุดท้ายประมุขนำทีมมารบที่อัคมาร์ ผลปรากฎว่า ไม่สามารถโจมตีคู่แข่งได้ และคู่แข่งเองประณีประนอณเช่นกัน


ปัญหาของประมุขคือปัญหาของประชาชน ประชาชนเสนอให้ประมุขปรับมาตราลองใช้มาตราอื่นในการรบบ้าง เช่น 4-3-3 , 3-5-2, 4-4-2 เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังรบที่มี ประชาชนเสนอให้ประมุขกล้าได้กล้าเสีย ประชาชนอยากเห็นแผนการรบที่ดีกว่านี้ ประชาชนไม่อยากเห็นกำลังพลโยนแต่หอกไปมา แต่ไม่เคยเสียบแทงศัตรูเลย ตั้งแต่ศึกแรกในปีนี้ที่ประมุขนำทัพและถล่มเมืองเดอะบริจด์อย่างโหดแท้ ในศึกนั้นประมุขสร้างแผนการรบที่ดี มีแดนหลังที่ดี และมีแนวรุกที่ดี แต่ทว่าตั้งแต่ศึกครั้งนั้น ประมุขไม่ได้แสดงสิ่งที่เรียกว่า "สติปัญญาอันทรงสูงส่ง" ให้เห็นเลย


เสียงเรียกร้องของประชาชนยังคงดังขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนไม่ได้ต้องการอะไรมากเลยนะ แค่กินดีอยู่ดีก็พอ รบแพ้ชนะเป็นเรื่องปกติ แต่หากไร้ซึ่งแผนการความมั่นคงคงสั่นคลอน


ฉะนั้นประมุขมีเวลาไม่มากแล้ว ประชาชนรอความยิ่งใหญ่ได้นะ แต่ประมุขเองก็ต้องชัดเจน ไม่ใช่ประมุขอยู่แต่กะลา และบอกกับทุกคนว่า "เมืองนี้ปกติ ไม่มีใครเป็นอะไร ทุกคนกำลังมีพรุ้งนี้" แต่ประมุขไม่เคยทำให้เลยสักครั้ง อย่าเป็นบุรุษที่ย้อนแย้งเลยนะท่าน


"ระฆังเริ่มดัง เหตุเพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น"


"จะร้ายหรือดี อยู่ที่ตัดสินใจของประชาชน"


"หากทำดีระฆังดังฟังยิ่งใหญ่ แต่หากทำเสียระฆังดังกังวลใจ"


ชะตาทั้งหมดประมุขเป็นผู้คุมไว้ เมื่อเวลานั้นมาถึง .... (ติดตามตอนต่อไป)