ลิเวอร์พูล,ยูโรป้าลีก,บาร์เซโลน่า,แชมเปี้ยนส์ลีก,เอซี มิลาน

ปี 2015-2016 ลิเวอร์พูล vs ดอร์ทมุนด์

เป็นเกมยูโรป้าลีก รอบ 8 ทีม โดยเลกแรก ลิเวอร์พูล บุกไปเสมอก่อนด้วยสกอร์ 1-1 แม้ว่าจะได้อเวย์โกลกลับมา แต่เกมนัดที่สองในถิ่นแอนฟิลด์ โดน เฮนริค เอ็มคิตาร์ยาน กับ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ซัดขึ้นนำด้วยสกอร์ในครึ่งแรก 0-2 

ครึ่งหลังมีเงื่อนไขเดียว คือ ทีมต้องยิง 3 ลูกและห้ามเสียเพิ่มประตูเด็ดขาด ซึ่งเกมนี้ได้ " ดิว็อค โอริกี้" ยิงประตูจุดประกาย ก่อนจบเกมพลิกแซงชนะ 4-3 จาก เดยัน ลอฟเลน สวมบทฮีโร่ทำประตูชัยให้ทีมผ่านเข้ารอบ

.

ปี 2018-2019 ลิเวอร์พูล vs บาร์เซโลน่า

เป็นเกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ โดยเลกแรก ลิโอเนล เมสซี่ พาบาร์เซโลน่า ถล่มก่อน 3-0 ซึ่งดูจะเป็นสกอร์ที่หวานเจี๊ยบแล้ว 

แต่ในเกมเลกสองที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลได้ช็อคความรู้สึกของแฟนบอลทั่วโลก พลิกเข้ารอบ ถล่มเอาชนะทัพอาซูกราน่าถึง 4-0 โดยเกมนี้ได้ประตูจาก ดิว็อค โอริกี้และ ไวนัลดุม เบิ้ลคนละสองลูก พาทีมผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

.

ปี 2004-2005 ลิเวอร์พูล vs เอซี มิลาน

เกมแชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ที่พบกับเอซี มิลาน ในยุครุ่งเรือง โดยทีมของคาโล อันเช่ล็อตติ ทำประตูออกนำในครึ่งแรกก่อนถึง 3-0  

แต่แล้วครึ่งหลัง หงส์แดงตีเสมอได้แบบไม่น่าเชื่อจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และ ซาบี อลอนโซ่ จากนั้น ปีศาจแดง-ดำ ก็โหมกระหน่ำบุกอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่สามารถทำประตูได้ ตึงต้องมาตัดสินที่การดวลลูกจุดโทษ 

สุดท้าย เจอร์ซี่ ดูเด็ค โชว์ผลงานที่ดีที่สุดในชีวิต ช่วยเซฟลูกจุดโทษของ อันเดร ปีร์โล่ และ อังเดร เชฟเชนโก้ ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาเอาชนะเอซี มิลาน คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 5 ได้อย่างยิ่งใหญ่ โดยสื่อต่างพากันยกย่องว่า นี่คือ "ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล”